9 ต้นไม้มงคลปลูกให้ความร่มรื่นกับบ้านแสนรักของคุณ
ต้นไม้มงคล ความหมายดี ปลูกเป็นไม้ประธานในสวนก็ได้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและความเย็น ความร่มรื่นให้บ้าน
แต่งบ้าน
admin
3/23/20251 min read


ต้นไม้มงคล ความหมายดี ปลูกเป็นไม้ประธานในสวนก็ได้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและความเย็น ความร่มรื่นให้บ้าน
ล่ำซำ หรือ ต้นหูหนู / เสริมโชคลาภ
ปัจจุบันนิยมใช้เป็นไม้ประธานในสวน ด้วยความหมายของชื่อที่สื่อถึงความมั่งคั่ง นอกจากนี้ล่ำซำยังมีรูปทรงที่สวยงาม และระบบรากก็ไม่ทำลายระบบโครงสร้างอีกด้วย
เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ ใบร่วงน้อย ทนแล้งได้ดี ลำต้นมีเปลือกแตกเป็นร่องสีเทาอมดำ ใบเป็นลักษณะใบเดี่ยวสีเขียวรูปไข่ มีดอกสีขาว และจะออกดอกแยกเพศต่างต้น หากต้องการปลูกควรเว้นระยะห่างระหว่างต้น 4-6 เมตร หากปลูกติดกันเกินไปจะทำให้ต้นเติบโตช้า และการขยายพันธุ์มักนิยมใช้วิธีการเพาะเมล็ด จึงเป็นพรรณไม้ที่โตช้าแต่ก็จะได้ต้นที่แข็งแรง
การดูแลเบื้องต้น
ล่ำซำ ในระยะต้นกล้าควรปลูกเลี้ยงไว้ในที่ร่มรำไร แต่เมื่อโตและมีอายุมากขึ้นสามารถนำมาปลูกกลางแจ้งหรือในบริเวณที่มีแดดตลอดทั้งวันได้ หรือพื้นที่ที่ได้รับแสงแดด 8-10 ชั่วโมงขึ้นไป ล่ำซำเป็นไม้ที่จะเรียกว่าดูแลง่ายก็ไม่เชิง เพราะก็ต้องเอาใจใส่อยู่บ้าง เช่น หมั่นสังเกตหน้าดินว่าแห้งหรือไม่ และควรรดน้ำ 2 วัน/อาทิตย์ หรือเมื่อดินแห้ง แต่ไม่ชอบดินแฉะหรือน้ำขังเพราะจะทำให้รากเน่าได้ง่าย และล่ำซำจะเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย
ข้อดีของต้นล่ำซำ
ล่ำซำ เป็นไม้ผลัดใบน้อยมาก จึงมีข้อดีที่ไม่ต้องคอยเก็บกวาดใบบ่อยๆ เหมาะกับคนที่มีเวลากวาดหรือดูแลน้อย ต้นล่ำซำค่อนข้างชอบแดด และทนแล้งได้ปานกลาง เติบโตได้ดีในสภาพอากาศเมืองไทย และยังเป็นพรรณไม้ที่ไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องแมลงและศัตรูพืช หากอยากได้รูปทรงที่สวยต้องหมั่นตัดแต่งทรงเพื่อให้แตกใบและพุ่มแน่นสวย
มั่งมี / เสริมความมั่งคั่ง ร่ำรวย
เดิมชื่อว่า “เฉียงพร้านางแอ” เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีทรงสวย สามารถพบได้ในทุกภาคของประเทศไทย ลำต้นตั้งตรงสูงได้ถึง 25-35 เมตร เปลือกต้นไม้สีน้ำตาลอมเทาหรืออมแดง ผิวเรียบ แตกกิ่งก้านเป็นรูปกรวยยอดทรงพุ่มทึบ ใบดก ออกเป็นใบเดี่ยว รูปรี โคนใบสอบ ปลายใบมีติ่งเล็กแหลม แผ่นใบเกลี้ยงและหนา ขอบใบเรียบ ด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนสีท้องใบจะอ่อนกว่าเล็กน้อย ออกดอกเป็นช่อกระจุกสั้นตามซอกใบและปลายกิ่งประมาณเดือนมกราคม-มีนาคม กลีบดอกสีครีม และมีผลเล็กขนาด 0.5-1.8 เซนติเมตร เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดงอ่อนถึงม่วงอมแดงเข้ม ด้านในมีเมล็ดสีดำนำไปขยายพันธุ์ได้
โดดเด่นด้วยลักษณะลำต้นที่สูงตรงไม่มีกิ่งก้านที่แผ่ออกไปมาก ทำให้สามารถปลูกใกล้อาคารได้ อีกทั้งยังไม่ผลัดใบและใบร่วงไม่มากนัก จึงให้ร่มเงากับอาคารได้ตลอดทั้งปี เนื้อไม้แข็งแรงและมีลายไม้สวยจึงสามารถนำไปใช้ทำเครื่องไม้เครื่องมือได้ ทำให้หลายคนนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประธานในการจัดสวน นอกจากนี้ ดอกยังมีกลิ่นหอม ผลสุกยังเป็นอาหารสำหรับสัตว์ขนาดเล็กอย่างนกและกระรอกในสวน
สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่ควรเป็นดินที่เก็บความชื้นและระบายน้ำได้ดี เช่น ดินร่วนปนทราย บริเวณที่ปลูกควรเป็นพื้นที่กว้าง ห่างจากตัวบ้านประมาณ 4-5 เมตร และมีไม้หลักช่วยยึดลำต้น พื้นที่ปลูกควรมีแดดจัดเต็มวัน ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งเกินไป เพราะต้นมั่งมีชอบความชื้นสูง และบำรุงด้วยการใส่ปุ๋ยคอกรอบโคนต้นไม้ปีละ 1-2 ครั้ง
ราคาของต้นมั่งมีขึ้นอยู่กับขนาดและความสูงของต้น หากเป็นต้นกล้าราคาจะอยู่ที่ประมาณ 50-100 บาท แต่หากเป็นต้นโตเต็มที่ราคาก็จะสูงขึ้น อยู่ที่หลักหมื่นเกือบหลักแสน
นางกวัก / เสริมเรื่องเงินทองโชคลาภ
เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 8-15 เมตร ทรงพุ่มกลมทึบ ใบสีเขียวเข้ม ชอบแสงแดดจัดและบริเวณที่ชุ่มชื้น แต่ก็ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี ผลแก่สามารถรับประทานได้ ปลูกในดินทั่วไป ต้องการน้ำปานกลาง
นิยมนำมาปลูกในบริเวณบ้านหรือริมน้ำเพื่อให้ร่มเงา เป็นต้นไม้มงคลชนิดหนึ่ง นิยมปลูกในทิศตะวันตกของบ้านจะช่วยให้ร่ำรวยขึ้นตามความเชื่อโบราณ เนื้อไม้สามารถนำมาแกะสลักเป็นเครื่องเรือนได้
กันเกรา / ช่วยปกป้องคุ้มภัย
เป็นไม้มงคลหนึ่งในเก้าชนิดที่ใช้รองก้นหลุมก่อนลงเสาเอกของบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล นิยมปลูกทางทิศตะวันออก เชื่อว่าช่วยปกป้องคุ้มภัย
ต้นกันเกรา ต้นไม้มงคล ดอกมีกลิ่นหอม สีสวย และมีสรรพคุณสารพัดประโยชน์
กันเกรา เหมาะปลูกเป็นไม้ประธานหรือในสวนสาธารณะหรือบริเวณบ้านที่มีพื้นที่กว้าง
ขึ้นโดยทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย แต่จะพบได้มากทางภาคใต้ ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็น ช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย ต้นกันเกรามีชื่อเรียกต่างกันไปคือ
ภาคกลางเรียก “กันเกรา” หมายถึง กันสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่ให้มาทำอันตรายใด ๆ
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก “มันปลา” น่าจะเป็นลักษณะของดอกที่เหมือนกับไขมันของปลาเมื่อลอยน้ำไขมันของปลาในถ้วยน้ำแกง โดยเฉพาะช่วงข้าวใหม่ปลามันที่ปลาจะมีความมันและเอร็ดอร่อยเป็นที่สุด
ภาคใต้เรียก “ตำแสง” หรือ “ตำเสา” “ตำเสา” คือ เป็นมงคลแก่เสาบ้านไม่ให้ปลวก มอด แมลงต่าง ๆ เจาะกิน
ลักษณะโดยทั่วไปของ กันเกรา
ไม้ต้นชนิดนี้มีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 8 – 25 เมตร และมีทรงพุ่มเรือนยอดรูปไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ ลำต้นเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก เปลือกมีสีน้ำตาล เมื่อต้นแก่จะแตกเป็นร่องลึกตามยาว
การปลูกต้นกันเกรา
ต้นกันเกรา มีอัตราการเจริญเติบโตปานกลาง ชอบแสงแดดตลอดวัน ดินทุกประเภทที่ชุ่มชื้น แต่ชอบน้ำปานกลาง ทนน้ำท่วมขัง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด โดยในช่วงแรกที่ปลูกต้องการความชื้นในระยะแรกสูงมาก การขุดหลุมจึงจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก หรือเศษไม้ ใบไม้มีความอ่อนเมื่อปลูกเสร็จต้องผูกเชือกติดกับไม่หลักกันไม่ให้ลำต้นโค้ง
เพื่อเร่งการเจริญเติบโตโดยเพิ่มความสวยให้กับต้นกล้าจากวัชพืช หากปลูกในดินไม่ดี ควรใช้ปุ๋ยสูตร 15: 15: 15 จะทำให้ต้นกันเกรามีอัตรารอดสูง โดยวิธีใส่ปุ๋ยจะทำหลังปลูกไป 1 เดือน ในปริมาณ 50 กรัมต่อ 1 ต้น ใส่ดินลึกประมาณ 5 เซนติเมตรห่างจากโคนต้น 30 เซนติเมตร จะทำให้การเจริญเติมโตของต้นกันเกราเติบโตได้ด้วยดี
สำหรับการดูแลพยายามกำจัดวัชพืชเพื่อให้การปลูกต้นไม่ในระยะแรกเติบโตได้อย่างรวดเร็ว หลัดตรวจเช็คติดตามผลการปลูกหากต้นไม่ตายจะได้หาวิธีแก้ไขได้โดยเร็ว การทำแนวกันไฟหากเกิดกรณีไฟป่าลุกลามจากภายนอก
ต้นพูนทรัพย์ / เสริมทรัพย์ เสริมบารมี
พูนทรัพย์ หรือ “กระบก” เป็นไม้ต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร โคนต้นมักขึ้นเป็นพูพอนสวยงามเรือนยอดรูปไข่ เปลือกต้นสีเทาอ่อนปนน้ำตาล ผิวเรียบแตกเป็นสะเก็ดเล็กน้อย โตช้า ทนแล้ง ต้องการน้ำปานกลาง ชอบแดดทั้งวัน เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินทุกชนิดทั่วประเทศ
เหมาะปลูกเป็นกลุ่มกันในพื้นที่โล่ง ๆ ที่กว้างและห่างจากสิ่งก่อสร้าง ระยะปลูก 8-10 เมตร ทรงพุ่มใบสวยงาม มีชื่อเรียกในกลุ่มผู้ค้าและนักจัดสวนว่า “พูนทรัพย์” และนิยมปลูกประดับเพราะเชื่อว่าเป็นไม้มงคล
เนื้อไม้เนื้อแข็งและหนัก มีเสี้ยนตรงแข็งมากจึงนิยมใช้ใช้สร้างบ้านเรือน เป็นเครื่องเรือนที่ต้องการความทนทาน เช่น ครกและสาก และใช้ทำถ่านได้ดี เมล็ดสามารถนำมาคั่วรับประทานเป็นของว่าง บางคนเรียกกันว่า “อัลมอนด์อีสาน” นอกจากนั้นใบอ่อนยังใช้รับประทานสดได้อีกด้วย
จิกเศรษฐี / เสริมบารมี เรียกโชคเรียกทรัพย์
คนสมัยก่อนนิยมปลูกต้นจิกเศรษฐีทางทิศใต้ และทิศตะวันตก ทำให้เชื่อว่าการปลุกในทิศนี้จะเสริมดวงให้ผู้ปลูกและผู้อาศัยมีความฉลาดหลักแหลม มีอำนาจ และยังเป็นต้นไม้ที่ช่วยในเรื่องป้องกันสิ่งไม่ดี หรือถ้าปลุกไว้ริมน้ำก็เชื่อว่าจะช่วยให้คนในบ้านแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทางน้ำอีกด้วย
และมีอีกหนึ่งความเชื่อว่าต้นจิกเป็นไม้โบราณถูกกล่าวอยู่ในตำนานของศาสนาพุทธ และเป็นไม้มงคลที่ช่วยเสริมบารมีและเรียกโชคเรียกทรัพย์เข้าบ้านให้แก่ผู้ปลูก จะนิยมปลูกไว้หน้าบ้านให้เรียกความมงคลมาสู่ตัวบ้าน
จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางที่มีความสูงได้ตั้งแต่ 15-30 เมตร
กิ่งก้านจะแตกออกรอบๆ ต้น เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลและเป็นปุ่ม ใบเดี่ยวออกเวียนสลับรอบกิ่ง ใบรูปรีถึงรูป ไข่กลับ ปลายใบแหลม โคนใบสอบ แผ่นใบ หนาและบิด สีเขียวเข้มเป็นมัน ช่อดอกสีแดงอมม่วง เป็นช่อกระจะออกที่ปลายยอด ช่อดอกยาวกว่า 1 เมตร ห้อยลง ก้านเกสรเพศผู้สีขาวยื่นยาวจากดอกจำนวนมากส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วงกลางคืนถึงรุ่งเช้า พอช่วงสายดอกจะร่วง เหลือแต่กลีบเลี้ยง
แต่จะต้องปลูกให้ห่างจากตัวบ้านและอาคารประมาณ 3 – 6 เมตร เพื่อไม่ให้ทรงพุ่มและกิ่งก้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของอาคารได้ ให้ทั้งร่มเงาและเป็นไม้ที่สามารถปลูกได้ไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน แต่เมื่อดอกร่วงหล่นเป็นผลติดเมล็ดต้องรีบเก็บออก เพราะอาจจะเพาะเป็นต้นอ่อนใหม่ได้ตามธรรมชาติ นอกจากนี้จะนิยมปลูกไว้ริมตลิ่ง ข้างสวนน้ำตกให้ต้นจิกเศรษฐีได้รับความชุ่มชื้นอยู่ตลอด
ชอบแสงแดดครึ่งวันหรือรำไร ชอบความชุ่มชื้นค่อนข้างสูงจึงควรจะรดน้ำมากๆ และบ่อยๆ แล้วถึงแม้จะชอบความชุ่มชื้นสูง แต่ก็ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ชอบดินร่วนที่มีความสมบูรณ์ทางอินทรีย์วัตถุรวมถึงระบายน้ำและอากาศได้ดีจะยิ่งเติบโตได้เป็นอย่างดี ใส่เป็นปุ๋ยหมักใบก้ามปูผสมกับปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน อัตราส่วน 2:1 หรือถ้าปลูกในกระถาง ก็สามารถใส่เป็นปุ๋ยสูตรเสมอแบบละลายช้าก็ได้ 3 เดือน ต่อ 1 รอบ
ถ้าปลูกลงดินควรหาบริเวณปลูกในบริเวณที่มีลมถ่ายเทสะดวก ได้รับแสงแดดเพียงพอ ไม่ค่อยเจอปัญหาแมลงศัตรูพืชสักเท่าไร เพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่ทนทาน โดยเฉพาะใบที่ไม่ค่อยมีหนอน เพราะใบที่แข็ง ยากต่อการกัดกิน
ใช้เป็นไม้ประดับ ไม่ว่าจะประดับที่บริเวณสวนภายในบ้าน รีสอร์ท สวนสาธารณะ สวนตามอาคารสำนักงานต่างๆ หรือปลูกริมคลอง ริมอ่างเก็บน้ำ ยิ่งกว่านั้นหากชื่นชอบสไตล์การจัดสวนแบบเฉพาะ อาทิ แบบสวนไทย แบบสวนบาหลี แบบสวนญี่ปุ่น หรือแบบสวนเกาหลี จิกเศรษฐี ก็สามารถเข้ากับรูปแบบนั้นๆ ได้อย่างง่ายๆ สบายๆ แล้วจะยังช่วยเพิ่มบรรยากาศความหวานปนหอมกรุ่นจากสีกับกลิ่นของดอกเป็นของแถมอย่างดีให้อีกด้วย
บุนนาค / เสริมบุญบารมีและความประเสริฐ
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-25 เมตร ทรงพุ่มใหญ่ลักษณะคล้ายเจดีย์ ใบเขียวเข้มตลอดปี ให้ร่มเงาได้ดี พบมากในป่าดิบชื้นใกล้แหล่งน้ำ ดอกมีกลิ่นหอมเย็น มักออกดอกในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน ยอดอ่อนสามารถนำมาใช้ทานสดหรือทำอาหารได้ เนื้อไม้แข็งแรง กิ่งสามารถนำมาทำฐานรองพานดอกไม้ไหว้พระตามความเชื่อของชาวไทใหญ่ โบราณนิยมปลูกต้นบุนนาคไว้ทางทิศตะวันตกของบ้าน เชื่อว่าจะช่วยป้องกันภัยอันตรายต่างๆ เหมือนมีพญานาคคุ้มครอง
ต้นบุนนาค กับความเชื่อ คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้ไว้เป็นไม้ประจำบ้าน จะช่วยทำให้เป็นผู้มีความประเสริฐและมีบุญ (พ้องกับความหมายของชื่อ) และคำว่านาคยังหมายถึง พญานาคที่มีแสนยานุภาพ ที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองภัย นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะช่วยป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ จากภายนอกได้ด้วย เนื่องจากใบของบุนนาคสามารถช่วยรักษาพิษต่าง ๆ ได้ โดยจะนิยมปลูกต้นบุนนาคไว้ทางทิศตะวันตกของบ้าน และปลูกกันในวันเสาร์เพื่อเอาคุณ
ลักษณะของต้นบุนนาค จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 15-25 เมตร และอาจสูงได้ถึง 30 เมตร ลักษณะเป็นทรงยอดพุ่มทึบและแคบ มีทรงพุ่มใหญ่ลักษณะคล้ายเจดีย์ต่ำ ๆ มีพูพอนเล็กน้อยตามโคนต้น เป็นไม้ไม่ผลัดใบ เนื้อไม้แข็ง กิ่งก้านเรียวเล็กห้อยลง เปลือกต้นมีสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกตื้น ๆ หลุดร่วงได้ง่าย ที่เปลือกชั้นในจะมีน้ำยางสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย ส่วนในเนื้อไม้จะมีสีแดงคล้ำเป็นมันเลื่อม
ใบบุนนาค ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบคล้ายรูปหอกหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบเรียวแหลม คล้ายใบมะปราง โคนใบสอบ แผ่นใบหนา ผิวใบเรียบเกลี้ยง ท้องใบมีคราบขาวปกคลุมอยู่ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.2-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-13 เซนติเมตร ใบอ่อนจะมีสีชมพูออกแดง ส่วนใบแก่ด้านบนจะมีสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างมีนวลสีเทา มีเส้นใบข้างมากแต่ไม่เห็นชัด ใบห้อยลงเป็นพู่ ก้านใบยาวประมาณ 0.8-1.2 เซนติเมตร ออกพร้อมกันทั้งต้นช่วงไม่กี่วันในแต่ละปี
ดอกบุนนาค ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบดอกมีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน กลีบดอกมี 5 กลีบซ้อนกัน ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่หัวกลับ ปลายบานและเว้า โคนสอบ ปลายกลีบย่นเล็กน้อย เมื่อดอกบานเต็มกลีบจะแผ่กว้างออก และมีเส้นผ่านศูนย์กลางของดอกราว 5-10 เซนติเมตร ดอกบุนนาคเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกจะห้อยลง ก้านดอกยาวน้อยกว่า 1 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้มากกว่า 50 อัน เกสรตัวผู้ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีสีเหลืองส้มและเป็นฝอย ส่วนอับเรณูเป็นสีส้ม ส่วนก้านเกสรตัวเมียมีสีขาว ก้านยาว มีรังไข่ 2 ช่อง กลีบเลี้ยง 4 กลีบ คล้ายรูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง แยกเป็น 2 วง ลักษณะกลม และกลีบเลี้ยงจะแข็งหนาและอยู่คงทน เมื่อเป็นผลก็ยังคงติดกับผลอยู่ และดอกมีกลิ่นหอมเย็น ส่งกลิ่นไปได้ไกล และดอกบุนนาคจะออกดอกในช่วงระหว่างฤดูร้อนถึงฤดูฝน
ผลบุนนาค ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ ผลแข็งมาก ส่วนปลายโค้งแหลม ปลายไม่แตก เปลือกผลมีรอยด่างสีน้ำตาล มีขนาดกว้างประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ผลมีสีส้มแก่หรือสีม่วงน้ำตาล มีเปลือกเป็นเส้นใยห่อหุ้มอยู่ และมีหยดยางเหนียว ที่ฐานมีกลีบเลี้ยงหนารองรับอยู่ 4 กลีบติดอยู่ และจะขยายโตขึ้นเป็นกาบหุ้มผล ภายในผลมีเมล็ด 1-4 เมล็ด ส่วนเมล็ดบุนนาคมีลักษณะของเมล็ดแบนและแข็ง มีสีน้ำตาลเข้ม
เสม็ดแดง / เสริมให้ร่มเย็นเป็นสุข
ต้นเสม็ดแดง ต้นไม้มงคลแต่งสวน สวยโดดเด่น ใบร่วงน้อย
เป็นต้นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดกลาง ความสูงโดยทั่วไป 7-10 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกสะเก็ดแผ่นบางๆ โคนต้นที่มีอายุมากมักเป็นพูพอน ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามแผ่นใบสีเขียว ยอดอ่อนสีแดง มีดอกออกเป็นช่อกรจุกแยกแขนง ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอกและเกสรตัวผู้สีขาว ออกดอกช่วงฤดูร้อน มีผลทรงกลมสีขาว ผลสดมีเนื้อภายในมีเมล็ดสีน้ำตาล
เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่กว้าง ให้ร่มเงาได้ดีและไม่ทิ้งใบ จึงนิยมปลูกตกแต่งสวน นิยมเรียกกันว่าเสม็ดแดงเพราเรียกตามสีของเปลือกต้น และยอดอ่อนสีแดงที่สามารถกินเป็นผักสดได้ มีรสชาติเปรี้ยวอมฝาด เรียกกันว่า ผักเม็ก ด้านสมุนไพร ใช้ใบตำและพอกช่วยแก้เคล็ดขัดยอก เปลือกต้นมีสารแทนนินสูงใช้ย้อมผ้าได้ เนื้อไม้ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเรือ หรือเฟอร์นิเจอร์ ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ผลสีขาวทรงกลมขนาดเล็กดูน่ารัก ออกผลเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
เสม็ดแดงเติบโตได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดตลอดวัน ค่อนข้างโตช้าและทนแล้ง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
แก้วเจ้าจอม / เสริมความเป็นสง่า และความร่มเย็น
แก้วเจ้าจอม ต้นไม้มงคลมีกลิ่นหอมให้ร่มเงา ที่ปลูกได้ทั้งในและนอกตัวบ้าน
เป็นไม้มงคลที่นิยมใช้แต่งสวน และใช้เป็นไม้ประธานในสวน ดอกหอม และระบบรากไม่ทำลายโครงสร้าง ต้องการน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดตลอดทั้งวัน ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกฤดูร้อน
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กความสูงอยู่ที่ประมาณ 10 – 15 เมตร ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบหมู่เกาะเวสต์อินดีสถึงทวีปอเมริกาใต้ ลำต้นมีเนื้อไม้แข็ง ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกตรงข้ามมี 2 พันธุ์ คือ ใบย่อย 2 คู่และ 3 คู่ ใบย่อยรูปไข่กลับหรือรูปรี ขนาดไม่เท่ากัน กว้าง 1- 2.5 เซนติเมตร ยาว 1.5 – 2.5 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบสอบ
แก้วเจ้าจอมจัดอยู่ในกลุ่มต้นไม้มงคลตามความเชื่อ เนื่องจากมีชื่อมงคล นามมงคล ว่า เจ้าจอม (เพื่อระลึกถึงรัชกาลที่ 5) ตาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำต้นพันธ์มุาจากประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี พ.ศ. 2451 และทรงปลูกไว้ที่พระราชอุทยานสวนสุนันทา เดิมชาววังเรียกว่า “ต้นน้ำอบฝรั่ง” (เพราะมีกลิ่นคล้ายน้ำอบ)
ต่อมาพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราช ปดิวรัดา ประทานชื่อใหม่ว่า “แก้วจุลจอม” ในปี พ.ศ. 2501 ศาสตราจารย์เต็ม สมิตินันทน์ ได้ตั้งชื่อใหม่ว่า“แก้วเจ้าจอม”ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน เป็นพรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ปลูกได้ทั้งในและนอกตัวบ้าน
ต้นแก้วเจ้าจอมเหมาะปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา ส่วนใหญ่นิยมปลูกนอกบ้าน มีทรงพุ่มกลมสวยงาม ใช้จัดสวนได้ดี มีความสวยงามเป็นสง่า ปลูกเป็นไม้ประดับ ทั่วไป หากออกดอกบานสะพรั่งก็ดูงดงาม แต่ไม่ควรปลูกติดชิดตัวบ้านหรืออาคารมากเกินไป เนื่องจากพุ่มอาจแผ่ออกมากระทบ คารเผื่อเพื้นที่ให้แก้วเจ้าจอมได้แผ่กิ่งออก
นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีความนิยมในการนำแก้วเจ้าจอมต้นเล็กๆไปปลูกในบ้านหรืออาคาร โดยเฉพาะร้านคาเฟ่หรือร้านอาหารที่ต้องการเพิ่มความร่มรื่น ซึ่งมีข้อแนะนำคือต้องมีช่องหลังคาโปร่งแสงเพื่อให้แสงแดดส่องมาถึงต้นแก้วเจ้าจอมตลอดเวลา เพราะต้นไม่ชนิดนี้ชอบแสงแดด
ปัณณิชา
เราสร้างบ้านเพื่อ สร้าง "ความสุข" ให้กับคุณ
นัดหมายเยี่ยมชมโครงการ
Tel : 096-562-4699 หรือ 083-615-1616
© 2024. All rights reserved.